ความเสี่ยง
เป็นสภาวะที่อาจทำให้เกิดความเสียหาย บาดเจ็บ สูญเสียและเกิดผลลบจาการทำงาน[1]
เป็นความสำคัญยิ่งของการบริหารจัดการแนวใหม่ (NPM) เป็นแนวทางเชิงรุกเพราะได้กระทำกับปัญหาด้านคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษาอย่างมีสติ
หากถือเอาผู้เรียนเป็นศูนย์กลางแท้จริงแล้ว
ใครจะเชื่อว่าการจัดการเรียนรู้ในชั้นไม่มีความเสี่ยงแฝงเร้นอยู่ เสมือนสนิมที่คอยโอกาสในเนื้อเหล็ก
ผู้ปกครองทั้งหลายก็ชอบที่จะเชื่อมั่นให้ครูอบรมสั่งสอนลูกหลานเด็กแทนตน
ให้เป็นบ้านหลังที่สองหรือเป็นพ่อแม่คนที่สอง ผู้บริหารและโดยเฉพาะอย่างยิ่งครูจึงมีความสำคัญยิ่ง
แล้วความเชื่อมั่นในคุณภาพในการจัดการเรียนรู้ก็เป็นความเสี่ยงสำคัญ
โดยมักพบว่าผู้บริหารโรงเรียนและครูจำนวนไม่น้อยที่ให้บุตรของตนไปเรียนในสถานศึกษาอื่นที่เห็นว่าน่าจะมีคุณภาพกว่า
ทั้งที่พยายามอ้างว่าสถานศึกษาตนมีการพัฒนา
มีบุคลากรผู้ทรงคุณวุฒิและวิทยฐานะสูงโดยจำนวนไม่น้อยมีการศึกษาระดับมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิต
ถือว่ายังขาดความเชื่อมั่นและมีภาวะเสี่ยงแฝงอยู่ ปล่อยให้บุตรหลานในชุมชนผู้ด้อยโอกาสรับไป สภาพเช่นนี้
กล่าวได้ว่า ผู้เรียนได้รับความเสี่ยงแน่นอน
อะไรคือความเสี่ยงของผู้เรียน?
แค่สองประเด็นนี้ ถือว่า เจ็บปวดมากพอ
1. การจัดการเรียนการสอนที่ขาดคุณภาพ
ไร้ทิศทาง
2. ครูทิ้งชั้นเรียน ละเลยความรับผิดชอบ
เอาใจใส่กับผู้เรียน ความมุ่งมั่น การมีจิตวิญาณ
จะแก้ความเสี่ยงอย่างไร?
สามารถแก้ได้ง่ายโดยการนำวงจรคุณภาพลงให้ถึงชั้นเรียน
จากการกำหนดกรอบวิธีการทำงานจากผู้อำนวยการสถานศึกษาที่เป็นผู้ขับเคลื่อนการจัดการเรียนรู้
ให้สถานศึกษาไปสู่มาตรฐานการศึกษาชาติ ทั้ง 3 ประการ ที่ถูกกำหนดมาเป็นเวลาหนึ่งทศวรรษแล้ว
อันเป็นเงื่อนไขสำคัญระดับชาติเป็นตัวตั้ง นำสู่เงื่อนไขระดับปฏิบัติการ อย่างน้อยได้แก่
เงื่อนไขระดับสถานศึกษา
–
ผู้บริหารและทีมงาน
เป็นสิ่งที่ผู้อำนวยการและผู้เกี่ยวของควรแสวงหาด้วยวิธีคิด
(Paradigm-กระบวนทัศน์) ให้เหมาะกับสภาพสถานศึกษา อย่างน้อย
ควรมีเงื่อนไขระดับสถานศึกษา ดังนี้
1. การกำหนดปีการศึกษา
(ตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าแท้จริงแล้ว
ปีการศึกษาเริ่มต้นเมื่อใดและสิ้นสุดเมื่อใด อนุมานเอาเองว่า 1 พฤษภาคม – 30
เมษายน น่าจะพอทำให้งานเดินได้) เมื่อจะมีการเปิดเรียนเป็นทางการในวันที่ 16
พฤษภาคมเพราะยังไม่ปรับกับประชาคมอาเซียน เพื่อให้เป็นลู่วิ่งมีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด
2. มอบหมายกำหนดภาระงานครูและวางแผน
ทั้งแผนกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการ ซึ่งปกติก็ทำอยู่แล้ว แต่ปัญหาที่พบก็คือ ปีการศึกษาและปีงบประมาณไม่ตรงกัน
งบประมาณรายหัวที่จำเป็นต้องใช้ในวันเปิดเรียนเดือนพฤษภาคม ก็ต้องรอไปนานกว่าครึ่งปี
แต่จำเป็นต้องให้แผนสู่การปฏิบัติได้อย่างสมจริง
3. การกำหนดวันทำการโรงเรียน
ได้แก่
1.
วาระโรงเรียน (School Agenda[2]) ซึ่งหมายถึงวาระที่เป็นห้วงเวลาอันสำคัญที่จะต้องจัดประชุมปฏิบัติการสำคัญที่จะต้องแสวงหาข้อตกลง
การติดตาม และสรุปประเมินผลงาน ให้เห็นว่าสถานศึกษามีชีวิต มีจังหวะในการทำงาน
เห็นภาพการเริ่มต้น การเคลื่อนไหวและความสำเร็จที่ตรงกันทุกฝ่ายจากวาระที่กำหนด
2.
ปฏิทินโรงเรียน (School Calendar) กำหนดวันปฏิบัติงานไว้ตลอดปี
อย่างน้อยให้มีวันเรียนตามกรอบหลักสูตรที่กำหนดไว้ 200 วัน (40 สัปดาห์) ให้ชัด
ประกันความเสี่ยงการใช้เวลาเรียนไปทำอย่างอื่น ที่พบได้แก่
วันเด็กที่มักจัดในวันศุกร์ วันแม่ และอื่นๆ อาจพิมพ์แจกหรือบรรจุไว้ในเว็บของโรงเรียนเพราะทำง่าย
เงื่อนไขสำหรับครู
ที่ผ่านมาครูมีภาระงานคู่
คือ งานหลักคือการสอน และงานสนับสนุนได้แก่งานโครงการพัฒนาต่างๆ ของสถานศึกษา
ภาระงานหลัก
คือ งานสอน ควรกำหนดให้ครูได้เดินทางด้วยวงจรคุณภาพ คือ
P – Plan คือ การวางแผนหลักสูตร
เป็นการทำหลักสูตรรายวิชา
(ระดับมัธยม) หรือ หลักสูตรชั้นเรียน (แบบบูรณาการ-สำหรับระดับประถมศึกษา ที่มิอาจแยกสาระได้เนื่องจากครูมีจำกัด)
มาจากคำว่า Syllabus ที่แปลว่า “หลักสูตร” เป็นคำว่า
กำหนดการสอน (กรมสามัญเดิม) หน่วยการสอน (สพฐ.) ประมวลการสอน (อุดม-เดิม) รายละเอียดการสอน
(มคอ.3 – อุดม) แต่จะใช้คำใหนก็ใช้ไปก่อนเถอะ ให้ครูทำ Syllabus (หลักสูตร)ได้ เป็นอันใช้ได้แล้ว
เป็นการจัดทำหลักสูตรเพื่อการสอน
เป็นเสมือนเค้าโครง โครงการสอน แผนการสอนรายเทอม/รายปี มีการกำหนดเนื้อหา จำนวนคาบ
วันเดือนปี และสาระที่จำเป็น เช่น ข้อตกลง (House rules) การจัดกลุ่มผู้เรียน วิธีการประเมิน
ที่จำเป็นให้ผู้บริหารและผู้เรียนได้ทราบ
หลักสูตร
จึงเป็นสิ่งแรกที่ครูจะต้องทำให้เสร็จก่อนเปิดเทอม
เป็นหลักประกันความเสี่ยงขั้นต้น และไม่ควรที่จะอนุญาตให้ครูเข้าชั้นโดยที่ยังไม่ดำเนินการให้สำเร็จ
D - Do คือ
การจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
หลักประกันความเสี่ยง
คือ การทำแผนการจัดการเรียนรู้ (Lesson Plan) วางแผนจากการเนื้อหาที่กำหนดในหลักสูตรมากำหนดเป้าประสงค์
กระบวนการ กิจกรรม สื่อ การประเมิน
และการเก็บผลการจัดการที่ได้ตั้งเป้าประสงค์ไว้ทุกข้อ และปรับปรุงแผนข้างหน้า
แผนการสอนจึงเป็นแผนเปล่า
จัดโครงสร้างไว้เพื่อจดรายละเอียดโดยย่อลงด้วยมือ เป็นการเตรียมล่วงหน้าเสมอ
ผู้บริหารอาจขอดูและนิเทศภายในได้
C - Check เป็นการตรวจทาน ตรวจสอบ
การตรวจสอบจากการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านไป
เก็บข้อมูล วิเคราะห์สภาพการใช้แผนการจัดการ สนเทศ ข้อเด่น ข้อด้อย จากการนิเทศ
ข้อเสนอแนะของผู้นิเทศ และการแสวงหาองค์ความรู้เพื่อปรับแนวทางการจัดการเรียนรู้
4. A - Act คือ การสรุปเป็นองค์ความรู้ไปพัฒนาต่อยอด
เป็นการวิเคราะห์
สรุปและรายงานผลการจัดการเรียนรู้ เมื่อ Syllabus เป็นเค้าโครงการวิจัย บทสุดท้ายคือการสรุป
จากแผนและร่องรอยที่เกิดจากทุกแผนในภาคเรียน
จากการตอบวัตถุประสงค์จองเค้าโครงการวิจัย ถือเป็นบทที่ ๕ ของงานวิจัย จะพบ
ผลการจัดการเรียนรู้ อภิปรายผล ปัญหา ข้อเสนอแนะ
ผลการจัดการ
คือผลการวิจัย แต่ ข้อเสนอแนะก็คือการปรับปรุงหลักสูตร ที่เรียกว่า
การพัฒนาหลักสูตรรายวิชา
ผู้บริหาร
นอกจากจะบริหารความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง และมีของแถมคือ
ผลจากข้อเสนอแนะของครูทุกคนนำไปสู้การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา จัดระบบการบันทึกให้เป็นรูปแบบการวิจัย
ก็จะเป็นผลงานที่สำคัญที่สุด...ทีเดียว
เอาภารกิจหลัก คือ งานจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตร ด้วยหลักประกันความเสี่ยง
ด้วยวงจรคุณภาพ ก็คุ้มพอแล้ว แต่ภารกิจสนับสนุน ต้องว่ากันอีกแบบเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน
ดังนั้น
ระยะเวลาของการเปิดภาคเรียนกระชั้นเข้ามา ไม่สายไปที่จะฝันถึงผู้เรียนที่มีคุณภาพ ด้วยการสกัดความเสี่ยงในการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษา
...ดีไหมเอ่ย...
[1]
A probability or threat of damage, injury, liability, loss,
or any other negative occurrence that is caused by external or internal vulnerabilities,
and that may be avoided through preemptive action.Read more: http://www.businessdictionary.com/definition/risk.html#ixzz3Ys9vmynz
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น